ทำลิงค์

ข้อความวิ่ง

เว็บบล็อกการเรียนรู้ของ...เบส

วันอาทิตย์ที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2564

วิชา ภาษาไทย

 


ภาษาไทย เป็นภาษาทางการของประเทศไทย และภาษาแม่ของชาวไทย และชนเชื้อสายอื่นในประเทศไทย ภาษาไทยเป็นภาษาในกลุ่มภาษาไต ซึ่งเป็นกลุ่มย่อยของตระกูลภาษาไท-กะได สันนิษฐานว่า ภาษาในตระกูลนี้มีถิ่นกำเนิดจากทางตอนใต้ของประเทศจีน และนักภาษาศาสตร์บางท่านเสนอว่า ภาษาไทยน่าจะมีความเชื่อมโยงกับตระกูลภาษาออสโตร-เอเชียติก ตระกูลภาษาออสโตรนีเซียน ตระกูลภาษาจีน-ทิเบต

ภาษาไทยเป็นภาษาที่มีระดับเสียงของคำแน่นอนหรือวรรณยุกต์เช่นเดียวกับภาษาจีน และออกเสียงแยกคำต่อคำ เป็นที่ลำบากของชาวต่างชาติเนื่องจาก การออกเสียงวรรณยุกต์ที่เป็นเอกลักษณ์ของแต่ละคำ และการสะกดคำที่ซับซ้อน นอกจากภาษากลางแล้ว ในประเทศไทยมีการใช้ ภาษาไทยถิ่นอื่นด้วย

เนื้อหา

  [ซ่อน
  • 1 ชื่อภาษาและที่มา
  • 2 ระบบเสียง
    • 2.1 พยัญชนะ
      • 2.1.1 พยัญชนะต้น
      • 2.1.2 พยัญชนะสะกด
      • 2.1.3 กลุ่มพยัญชนะ
    • 2.2 สระ
    • 2.3 วรรณยุกต์
  • 3 ไวยากรณ์
  • 4 การยืมคำจากภาษาอื่น
    • 4.1 คำที่ยืมมาจากภาษาบาลี-สันสกฤต
  • 5 ดูเพิ่ม
  • 6 อ้างอิง
  • 7 แหล่งข้อมูลอื่น

ชื่อภาษาและที่มา

คำว่า ไทย หมายความว่า อิสรภาพ เสรีภาพ หรืออีกความหมายหนึ่งคือ ใหญ่ ยิ่งใหญ่ เพราะการจะเป็นอิสระได้จะต้องมีกำลังที่มากกว่า แข็งแกร่งกว่า เพื่อป้องกันการรุกรานจากข้าศึก แม้คำนี้จะมีรูปเหมือนคำยืมจากภาษาบาลีสันสกฤต แต่แท้ที่จริงแล้ว คำนี้เป็นคำไทยแท้ที่เกิดจากกระบวนการสร้างคำที่เรียกว่า 'การลากคำเข้าวัด' ซึ่งเป็นการลากความวิธีหนึ่ง ตามหลักคติชนวิทยา คนไทยเป็นชนชาติที่นับถือกันว่า ภาษาบาลีซึ่งเป็นภาษาที่บันทึกพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าเป็นภาษาอันศักดิ์สิทธิ์และเป็นมงคล เมื่อคนไทยต้องการตั้งชื่อประเทศว่า ไท ซึ่งเป็นคำไทยแท้ จึงเติมตัว  เข้าไปข้างท้าย เพื่อให้มีลักษณะคล้ายคำในภาษาบาลีสันสกฤตเพื่อความเป็นมงคลตามความเชื่อของตน ภาษาไทยจึงหมายถึงภาษาของชนชาติไทยผู้เป็นไทนั่นเอง

ระบบเสียง

ระบบเสียงในภาษาไทยแบ่งออกเป็น 3 ส่วนคือ

  1. เสียงพยัญชนะ
  2. เสียงสระ
  3. เสียงวรรณยุกต์
 

พยัญชนะ

พยัญชนะต้น

ภาษาไทยแบ่งแยกรูปแบบเสียงพยัญชนะก้องและพ่นลม ในส่วนของเสียงกักและเสียงผสมเสียดแทรก เป็นสามประเภทดังนี้

  • เสียงไม่ก้อง ไม่พ่นลม
  • เสียงไม่ก้อง พ่นลม
  • เสียงก้อง ไม่พ่นลม

หากเทียบกับภาษาอังกฤษ โดยทั่วไปมีเสียงแบบที่สองกับสามเท่านั้น เสียงแบบที่หนึ่งพบได้เฉพาะเมื่ออยู่หลัง s ซึ่งเป็นเสียงแปรของเสียงที่สอง

เสียงพยัญชนะต้นโดยรวมแบ่งเป็น 21 เสียง ตารางด้านล่างนี้บรรทัดบนคือสัทอักษรสากล บรรทัดล่างคืออักษรไทยในตำแหน่งพยัญชนะต้น (อักษรหลายตัวที่ปรากฏในช่องให้เสียงเดียวกัน)

 ริมฝีปาก
ทั้งสอง
ริมฝีปากล่าง
-ฟันบน
ปุ่มเหงือกหลังปุ่มเหงือกเพดานแข็งเพดานอ่อนเส้นเสียง
เสียงนาสิก [m]
  [n]
ณ,น
   [ŋ]
 
เสียงกัก[p]
[pʰ]
ผ,พ,ภ
[b]
 [t]
ฏ,ต
[tʰ]
ฐ,ฑ,ฒ,ถ,ท,ธ
[d]
ฎ,ด
  [k]
[kʰ]
ข,ฃ,ค,ฅ,ฆ*
 [ʔ]
อ**
เสียงเสียดแทรก [f]
ฝ,ฟ
[s]
ซ,ศ,ษ,ส
    [h]
ห,ฮ
เสียงผสมเสียดแทรก   [t͡ɕ]
[t͡ɕʰ]
ฉ,ช,ฌ
   
เสียงรัวลิ้น   [r]
    
เสียงเปิด    [j]
ญ,ย
 [w]
 
เสียงข้างลิ้น   [l]
ล,ฬ
    
* ฃ และ ฅ เลิกใช้แล้ว ดังนั้นอาจกล่าวได้ว่าภาษาไทยสมัยใหม่มีพยัญชนะเพียง 42 ตัวอักษร
** อ ที่เป็นพยัญชนะต้นหมายถึงเสียงเงียบ และดังนั้นมันจึงถูกพิจารณาว่าเป็นเสียงกัก เส้นเสียง

พยัญชนะสะกด

ถึงแม้ว่าพยัญชนะไทยมี 44 รูป 21 เสียงในกรณีของพยัญชนะต้น แต่ในกรณีพยัญชนะสะกดแตกต่างออกไป สำหรับเสียงสะกดมีเพียง 8 เสียง และรวมทั้งไม่มีเสียงด้วย เรียกว่า มาตรา เสียงพยัญชนะก้องเมื่ออยู่ในตำแหน่งตัวสะกด ความก้องจะหายไป

ในบรรดาพยัญชนะไทย นอกจาก ฃ และ ฅ ที่เลิกใช้แล้ว ยังมีพยัญชนะอีก 6 ตัวที่ใช้เป็นตัวสะกดไม่ได้คือ ฉ ผ ฝ ห อ ฮ ดังนั้นมันจึงเหลือเพียง 36 ตัวตามตาราง

 ริมฝีปาก
ทั้งสอง
ริมฝีปากล่าง
-ฟันบน
ปุ่มเหงือกหลังปุ่มเหงือกเพดานแข็งเพดานอ่อนเส้นเสียง
เสียงนาสิก [m]
  [n]
ญ,ณ,น,ร,ล,ฬ
   [ŋ]
 
เสียงกัก[p]
บ,ป,พ,ฟ,ภ
  [t]
จ,ช,ซ,ฌ,ฎ,ฏ,ฐ,ฑ,ฒ,
ด,ต,ถ,ท,ธ,ศ,ษ,ส
   [k]
ก,ข,ค,ฆ
 [ʔ]
*
เสียงเสียดแทรก       
เสียงผสมเสียดแทรก       
เสียงรัวลิ้น       
เสียงเปิด    [j]
 [w]
 
เสียงข้างลิ้น       
* เสียงกัก เส้นเสียง จะปรากฏเฉพาะหลังสระเสียงสั้นเมื่อไม่มีพยัญชนะสะกด

กลุ่มพยัญชนะ

แต่ละพยางค์ในคำหนึ่ง ๆ ของภาษาไทยแยกออกจากกันอย่างชัดเจน (ไม่เหมือนภาษาอังกฤษที่พยัญชนะสะกดอาจกลายเป็นพยัญชนะต้นในพยางค์ถัดไป หรือในทางกลับกัน) ดังนั้นพยัญชนะหลายตัวของพยางค์ที่อยู่ติดกันจะไม่รวมกันเป็นกลุ่มพยัญชนะเลย

ภาษาไทยมีกลุ่มพยัญชนะเพียงไม่กี่กลุ่ม ประมวลคำศัพท์ภาษาไทยดั้งเดิมระบุว่ามีกลุ่มพยัญชนะ (ที่ออกเสียงรวมกันโดยไม่มีสระอะ) เพียง 11 แบบเท่านั้น เรียกว่า พยัญชนะควบกล้ำ หรือ อักษรควบกล้ำ

  • /kr/ (กร), /kl/ (กล), /kw/ (กว)
  • /kʰr/ (ขร,คร), /kʰl/ (ขล,คล), /kʰw/ (ขว,คว)
  • /pr/ (ปร), /pl/ (ปล)
  • /pʰr/ (พร), /pʰl/ (ผล,พล)
  • /tr/ (ตร)

พยัญชนะควบกล้ำมีจำนวนเพิ่มขึ้นอีกเล็กน้อยจากคำยืมภาษาต่างประเทศ อาทิ อินทรา จากภาษาสันสกฤต พบว่าใช้ /tʰr/ (ทร), ฟรี จากภาษาอังกฤษ พบว่าใช้ /fr/ (ฟร) เป็นต้น เราสามารถสังเกตได้ว่า กลุ่มพยัญชนะเหล่านี้ถูกใช้เป็นพยัญชนะต้นเท่านั้น ซึ่งมีเสียงพยัญชนะตัวที่สองเป็น ร ล หรือ ว และกลุ่มพยัญชนะจะมีเสียงไม่เกินสองเสียงในคราวเดียว การผันวรรณยุกต์ของคำขึ้นอยู่กับไตรยางศ์ของพยัญชนะตัวแรก

สระ

เสียงสระในภาษาไทยแบ่งออกเป็น 3 ชนิดคือ สระเดี่ยว สระประสม และสระเกิน สะกดด้วยรูปสระพื้นฐานหนึ่งตัวหรือหลายตัวร่วมกัน (ดูที่ อักษรไทย)

สระเดี่ยว หรือ สระแท้ คือสระที่เกิดจากฐานเพียงฐานเดียว มีทั้งสิ้น 18 เสียง

 ลิ้นส่วนหน้าลิ้นส่วนหลัง
ปากเหยียดปากเหยียดปากห่อ
สั้นยาวสั้นยาวสั้นยาว
ลิ้นยกสูง/i/
–ิ
/iː/
–ี
/ɯ/
–ึ
/ɯː/
–ื
/u/
–ุ
/uː/
–ู
ลิ้นกึ่งสูง/e/
เ–ะ
/eː/
เ–
/ɤ/
เ–อะ
/ɤː/
เ–อ
/o/
โ–ะ
/oː/
โ–
ลิ้นกึ่งต่ำ/ɛ/
แ–ะ
/ɛː/
แ–
  /ɔ/
เ–าะ
/ɔː/
–อ
ลิ้นลดต่ำ  /a/
–ะ
/aː/
–า
  
สระเดี่ยว
สระเดี่ยว
สระประสม
สระประสม

สระประสม คือสระที่เกิดจากสระเดี่ยวสองเสียงมาประสมกัน เกิดการเลื่อนของลิ้นในระดับสูงลดลงสู่ระดับต่ำ ดังนั้นจึงสามารถเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า "สระเลื่อน" มี 3 เสียงดังนี้

  • เ–ีย /iaː/ ประสมจากสระ อี และ อา
  • เ–ือ /ɯaː/ ประสมจากสระ อือ และ อา
  • –ัว /uaː/ ประสมจากสระ อู และ อา

ในบางตำราจะเพิ่มสระสระประสมเสียงสั้น คือ เ–ียะ เ–ือะ –ัวะ ด้วย แต่ในปัจจุบันสระเหล่านี้ปรากฏเฉพาะคำเลียนเสียงเท่านั้น เช่น เพียะ เปรี๊ยะ ผัวะ เป็นต้น

สระเสียงสั้นสระเสียงยาวสระเกิน
ไม่มีตัวสะกดมีตัวสะกดไม่มีตัวสะกดมีตัวสะกดไม่มีตัวสะกดมีตัวสะกด
–ะ–ั–¹–า–า––ำ(ไม่มี)
–ิ–ิ––ี–ี–ใ–(ไม่มี)
–ึ–ึ––ือ–ื–ไ–ไ––⁵
–ุ–ุ––ู–ู–เ–า(ไม่มี)
เ–ะเ–็–เ–เ––ฤ, –ฤฤ–, –ฤ–
แ–ะแ–็–แ–แ––ฤๅ(ไม่มี)
โ–ะ––โ–โ––ฦ, –ฦฦ–, –ฦ–
เ–าะ–็อ––อ–อ–²ฦๅ(ไม่มี)
–ัวะ(ไม่มี)–ัว–ว–  
เ–ียะ(ไม่มี)เ–ียเ–ีย–  
เ–ือะ(ไม่มี)เ–ือเ–ือ–  
เ–อะ(ไม่มี)เ–อเ–ิ–³, เ–อ–⁴  

สระเกิน คือสระที่มีเสียงของพยัญชนะปนอยู่ มี 8 เสียงดังนี้

  • –ำ /am, aːm/ ประสมจาก อะ ม (อัม) บางครั้งออกเสียงยาวเวลาพูด (อาม)
  • ใ– /aj, aːj/ ประสมจาก อะ ย (อัย) บางครั้งออกเสียงยาวเวลาพูด (อาย)
  • ไ– /aj, aːj/ ประสมจาก อะ ย (อัย) บางครั้งออกเสียงยาวเวลาพูด (อาย)
  • เ–า /aw, aːw/ ประสมจาก อะ ว (เอา) บางครั้งออกเสียงยาวเวลาพูด (อาว)
  • ฤ /rɯ/ ประสมจาก ร อึ (รึ) บางครั้งเปลี่ยนเป็น /ri/ (ริ) หรือ /rɤː/ (เรอ)
  • ฤๅ /rɯː/ ประสมจาก ร อือ (รือ)
  • ฦ /lɯ/ ประสมจาก ล อึ (ลึ)
  • ฦๅ /lɯː/ ประสมจาก ล อือ (ลือ)

บางตำราก็ว่าสระเกินเป็นพยางค์ ไม่ถูกจัดว่าเป็นสระ

สระบางรูปเมื่อมีพยัญชนะสะกด จะมีการเปลี่ยนแปลงรูปสระ สามารถสรุปได้ตามตารางด้านขวา

¹ คำที่สะกดด้วย –ะ ว นั้นไม่มี เพราะซ้ำกับ –ัว แต่เปลี่ยนไปใช้ เ–า แทน
² คำที่สะกดด้วย –อ ร จะลดรูปเป็น –ร ไม่มีตัวออ เช่น พร ศร จร ซึ่งก็จะไปซ้ำกับสระ โ–ะ ดังนั้นคำที่สะกดด้วย โ–ะ ร จึงไม่มี
³ คำที่สะกดด้วย เ–อ ย จะลดรูปเป็น เ–ย ไม่มีพินทุ์อิ เช่น เคย เนย เลย ซึ่งก็จะไปซ้ำกับสระ เ– ดังนั้นคำที่สะกดด้วย เ– ย จึงไม่มี
⁴ พบได้น้อยคำเท่านั้นเช่น เทอญ เทอม
⁵ มีพยัญชนะสะกดเป็น ย เท่านั้น เช่น ไทย ไชย

วรรณยุกต์

เสียงวรรณยุกต์ ในภาษาไทย (เสียงดนตรีหรือเสียงผัน) จำแนกออกได้เป็น 5 เสียง ได้แก่

เสียงวรรณยุกต์ตัวอย่างหน่วยเสียงสัทอักษร
เสียงสามัญ (ระดับเสียงกลาง)นา/nāː/[naː˧]
เสียงเอก (ระดับเสียงต่ำ)หน่า/nàː/[naː˩]
เสียงโท (ระดับเสียงสูง-ต่ำ)หน้า/nâː/[naː˥˩]
เสียงตรี (ระดับเสียงกลาง-สูง หรือ สูงอย่างเดียว)น้า/náː/[naː˧˥] หรือ [naː˥]
เสียงจัตวา (ระดับเสียงต่ำ-กึ่งสูง)หนา/nǎː/[naː˩˩˦] หรือ [naː˩˦]

ส่วน รูปวรรณยุกต์ มี 4 รูป ได้แก่

  • ไม้เอก ( -่ )
  • ไม้โท ( -้ )
  • ไม้ตรี ( -๊ )
  • ไม้จัตวา ( -๋ )

ทั้งนี้คำที่มีรูปวรรณยุกต์เดียวกัน ไม่จำเป็นต้องมีระดับเสียงวรรณยุกต์เดียวกัน ขึ้นอยู่กับระดับเสียงของอักษรนำด้วย เช่น ข้า (ไม้โท) ออกเสียงโทเหมือน ค่า (ไม้เอก) เป็นต้น

ไวยากรณ์

ภาษาไทยเป็นภาษาคำโดด คำในภาษาไทยจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงรูปไม่ว่าจะอยู่ในกาล (tense) การก (case) มาลา (mood) หรือวาจก (voice) ใดก็ตาม คำในภาษาไทยไม่มีลิงก์ (gender) ไม่มีพจน์ (number) ไม่มีวิภัตติปัจจัย แม้คำที่รับมาจากภาษาผันคำ (ภาษาที่มีวิภัตติปัจจัย) เป็นต้นว่าภาษาบาลีสันสกฤต เมื่อนำมาใช้ในภาษาไทย ก็จะไม่มีการเปลี่ยนแปลงรูป คำในภาษาไทยหลายคำไม่สามารถกำหนดหน้าที่ของคำตายตัวลงไปได้ ต้องอาศัยบริบทเข้าช่วยในการพิจารณา เมื่อต้องการจะผูกประโยค ก็นำเอาคำแต่ละคำมาเรียงติดต่อกันเข้า ภาษาไทยมีโครงสร้างแตกกิ่งไปทางขวา คำคุณศัพท์จะวางไว้หลังคำนาม ลักษณะทางวากยสัมพันธ์โดยรวมแล้วจะเป็นแบบ 'ประธาน-กริยา-กรรม'

[แก้]การยืมคำจากภาษาอื่น

ภาษาไทยเป็นภาษาหนึ่งที่มีการยืมคำมาจากภาษาอื่นๆค่อนข้างสูงมาก มีทั้งแบบยืมมาจากภาษาในตระกูลภาษาไท-กะได ด้วยกันเอง และข้ามตระกูลภาษา โดยส่วนมากจะยืมมาจากภาษาบาลี ภาษาสันสกฤต และภาษาเขมร ซึ่งมีทั้งรักษาคำเดิม ออกเสียงใหม่ สะกดใหม่ หรือเปลี่ยนความหมายใหม่ อย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่างรวมกัน

บางครั้งเป็นการยืมมาซ้อนคำ เกิดเป็นคำซ้อน คือ คำย่อยในคำหลัก มีความหมายเดียวกันทั้งสอง เช่น

  • ดั้งจมูก โดยมีคำว่าดั้ง เป็นคำในภาษาไต ส่วนจมูก เป็นคำในภาษาเขมร
  • อิทธิฤทธิ์ มาจาก อิทธิ (iddhi) ในภาษาบาลี ซ้อนกับคำว่า ฤทธิ (ṛddhi) ในภาษาสันสกฤต โดยทั้งสองคำมีความหมายเดียวกัน

คำที่ยืมมาจากภาษาบาลี-สันสกฤต

คำจำนวนมากในภาษาไทย ไม่ใช้คำในกลุ่มภาษาไต แต่เป็นคำที่ยืมมาจากกลุ่มภาษาสันสกฤต-ปรากฤต โดยมีตัวอย่างดังนี้

รักษารูปเดิม หรือเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย
  • วชิระ (บาลี:วชิระ [vajira]), วัชระ (สันส:วัชร [vajra])
  • ศัพท์ (สันส:ศัพทะ [śabda]), สัท (เช่น สัทอักษร) (บาลี:สัททะ [sadda])
  • อัคนี และ อัคคี (สันส:อัคนิ [agni] บาลี:อัคคิ [aggi])
  • โลก (โลก) - (บาลี-สันส:โลกะ [loka])
  • ญาติ (ยาด) - (บาลี:ญาติ (ยา-ติ) [ñāti])
เสียง พ มักแผลงมาจาก ว
  • เพียร (มาจาก พิริยะ และมาจาก วิริยะ อีกทีหนึ่ง) (สันส:วีรยะ [vīrya], บาลี:วิริยะ [viriya])
  • พฤกษา (สันส:วฤกษะ [vṛkṣa])
  • พัสดุ (สันส: [vastu] (วัสตุ); บาลี: [vatthu] (วัตถุ))
เสียง -อระ เปลี่ยนมาจาก -ะระ
  • หรดี (หอ-ระ-ดี) (บาลี:หรติ [harati] (หะระติ))
เสียง ด มักแผลงมาจาก ต
  • หรดี (หอ-ระ-ดี) (บาลี:หรติ [harati] (หะระติ))
  • เทวดา (บาลี:เทวะตา [devatā])
  • วัสดุ และ วัตถุ (สันส: [vastu] (วัสตุ); บาลี: [vatthu] (วัตถุ))
  • กบิลพัสดุ์ (กะ-บิน-ละ-พัด) (สันส: [kapilavastu] (กปิลวัสตุ); บาลี: [kapilavatthu] (กปิลวัตถุ))
เสียง บ มักแผลงมาจาก ป
  • กบิลพัสดุ์ (กะ-บิน-ละ-พัด) (สันส: [kapilavastu] (กปิลวัสตุ); บาลี: [kapilavatthu] (กปิลวัตถุ))
  • บุพเพ และ บูรพ (บาลี: [pubba] (ปุพพ))

ดูเพิ่ม

  • อักษรไทย
  • ไตรยางศ์
  • คำราชาศัพท์
  • คำที่มักเขียนผิด
  • ภาษาในประเทศไทย
  • วันภาษาไทยแห่งชาติ
  • ภาษาวิบัติ

อ้างอิง

  • กำชัย ทองหล่อ. หลักภาษาไทย. กรุงเทพฯ : บำรุงสาส์น, 2533.
  • นันทนา รณเกียรติ. สัทศาสตร์ภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ. กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2548. ISBN 978-974-571-929-3.
  • อภิลักษณ์ ธรรมทวีธิกุล และ กัลยารัตน์ ฐิติกานต์นารา. 2549.“การเน้นพยางค์กับทำนองเสียงภาษาไทย” (Stress and Intonation in Thai ) วารสารภาษาและภาษาศาสตร์ ปีที่ 24 ฉบับที่ 2 (มกราคม – มิถุนายน 2549) หน้า 59-76
  • สัทวิทยา : การวิเคราะห์ระบบเสียงในภาษา. 2547. กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
  • Gandour, Jack, Tumtavitikul, Apiluck and Satthamnuwong, Nakarin.1999. “Effects of Speaking Rate on the Thai Tones.” Phonetica 56, pp.123-134.
  • Tumtavitikul, Apiluck, 1998. “The Metrical Structure of Thai in a Non-Linear Perspective”. Papers presentd to the Fourth Annual Meeting of the Southeast Asian Linguistics Society 1994, pp.53-71. Udom Warotamasikkhadit and Thanyarat Panakul, eds. Temple,Arizona:Program for Southeast Asian Studies, Arizona State University.
  • Apiluck Tumtavitikul. 1997. “The Reflection on the X’ category in Thai”. Mon-Khmer Studies XXVII, pp. 307-316.
  • อภิลักษณ์ ธรรมทวีธิกุล. 2539. “ข้อคิดเกี่ยวกับหน่วยวากยสัมพันธ์ในภาษาไทย” วารสารมนุษยศาสตร์วิชาการ. 4.57-66.
  • Tumtavitikul, Appi. 1995. “Tonal Movements in Thai”. The Proceedings of the XIIIth International Congress of Phonetic Sciences, Vol. I, pp. 188-121. Stockholm: Royal Institute of Technology and Stockholm University.
  • Tumtavitikul, Apiluck. 1994. “Thai Contour Tones”.Current Issues in Sino-Tibetan Linguistics, pp.869-875. Hajime Kitamura et al, eds, Ozaka: The Organization Committee of the 26th Sino-Tibetan Languages and Linguistics,National Museum of Ethnology.
  • Tumtavitikul, Apiluck. 1993. “FO – Induced VOT Variants in Thai”. Journal of Languages and Linguistics, 12.1.34 – 56.
  • Tumtavitikul, Apiluck. 1993. “Perhaps, the Tones are in the Consonants?” Mon-Khmer Studies XXIII, pp.11-41.

แหล่งข้อมูลอื่น

AlphabetsScriptsWorld.pngสถานีย่อย:ภาษา
Wikibooks
วิกิตำรา มีคู่มือ ตำรา หรือวิธีการเกี่ยวกับ:
ภาษาไทย
  • ภาษาไทยและอักษรไทย ที่ Omniglot (อังกฤษ)
  • พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๔๒

วันพุธที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2564

ผลงานวิชา ดนตรี

 


ดนตรี

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
ไปยังการนำทางไปยังการค้นหา
โน้ตเพลง

ดนตรี (อังกฤษmusic) คือ เสียงและโครงสร้างที่จัดเรียงอย่างเป็นระเบียบแบบแผน ซึ่งมนุษย์ใช้ประกอบกิจกรรมศิลปะที่เกี่ยวข้องกับเสียง โดยดนตรีนั้นแสดงออกมาในด้านระดับเสียง (ซึ่งรวมถึงท่วงทำนองและเสียงประสานจังหวะ และคุณภาพเสียง ได้แก่ ความต่อเนื่องของเสียง เนื้อเสียง ความดังค่อย และพรรณลักษณ์ของเสียง (texture)[1]

ดนตรีในความหมายอย่างกว้าง หมายถึง กิจกรรมการแสดงออกทางวัฒนธรรม (une activité culturelle) ของมนุษย์ที่เกี่ยวกับการขับร้อง รวมถึงการสร้างจังหวะและทำนอง ดนตรีจึงมีความสำคัญ ไม่เพียงแค่ในเชิงการสื่อสาร หรือการใช้เพื่อความบันเทิงและในพิธีกรรม แต่ยังรวมถึงความสำคัญในด้านศิลปะ และด้านสุนทรียศาสตร์ อีกด้วย

ศัพทมูลวิทยา[แก้]

คำว่า "ดนตรี" มีรากศัพท์มาจากภาษาสันสกฤต คือ तन्त्री (ตนฺตฺรี) ซึ่งแปลว่า ดนตรี ในภาษาอื่นที่มีรากศัพท์เดียวกัน ได้แก่ ภาษาเขมร คือ តន្ត្រី (ตนฺตฺรี) และ ภาษาลาว คือ ດົນຕີ (ดนตี)

อ้างอิง[แก้]

  1.  ทฤษฎีดนตรี เรียกข้อมูลวันที่ 17 มีนาคม 2554 : จาก www.guru.thaibizcenter.com

หนังสืออ่านเพิ่ม[แก้]

  • Colles, Henry Cope (1978). The Growth of Music : A Study in Musical History, 4th ed., London ; New York : Oxford University Press. ISBN 0-19-316116-8 (1913 edition online at Google Books)
  • Harwood, Dane (1976). "Universals in Music: A Perspective from Cognitive Psychology". Ethnomusicology20 (3): 521–33. doi:10.2307/851047.
  • Small, Christopher (1977). Music, Society, Education. John Calder Publishers, London. ISBN 0-7145-3614-8

ผลงานวิชา พละ

 


พละ

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
ไปยังการนำทางไปยังการค้นหา
บทความนี้เกี่ยวกับพุทธศาสนา สำหรับวิชาศึกษา ดูที่ พลศึกษา

พละ หรือ พละ 5 คือ กำลังห้าประการ[1] ได้แก่

  1. ศรัทธาพละ ความเชื่อ กำลังการควบคุมความสงสัย ความวิตก
  2. วิริยะพละ ความเพียร กำลังการควบคุมความเกียจคร้าน
  3. สติพละ ความระลึกได้ กำลังการควบคุมความประมาท ความงมงาย
  4. สมาธิพละ ความตั้งใจมั่น กำลังการควบคุมการวอกแวกเขว่ไขว่ ฟุ้งซ่าน
  5. ปัญญาพละ ความรอบรู้ กำลังการควบคุม การทำเกินพอดี

เป็นหลักธรรมที่คู่กับอินทรีย์ 5 คือศรัทธินทรีย์ วิริยินทรีย์ สตินทรีย์ สมาธินทรีย์ ปัญญินทรีย์ โดยมีความเหมือนความแตกต่างและความเกี่ยวเนื่องคือ พละ 5 เป็นธรรมที่กำจัดแก้อกุศลนิวรณ์ อินทรีย์เป็นธรรมเสริมสร้างกุศลอิทธิบาท

พละ 5 กับนิวรณ์ 5[แก้]

พละทั้งห้านี้ เป็นหลักธรรมที่ผู้เจริญวิปัสสนาพึงรู้ ศรัทธาปรับให้สมดุลกับปัญญา วิริยะต้องปรับให้สมดุลกับสมาธิ ส่วนสติพึงเจริญให้มากเนื่องเป็นหลักที่มีสภาวะปรับสมดุลของจิตภายในตัวเองอยู่แล้ว ถ้าพละห้า ไม่สมดุล ท่านว่าจะเกิดนิวรณ์ทั้งห้า

  • ศรัทธาพละมากกว่าปัญญาพละ จะทำให้มีโมหะได้ง่าย จนเกิดราคะ โทสะได้ง่าย ทำให้อาจเกิดกามฉันทะนิวรณ์หรือพยาบาทนิวรณ์
  • ปัญญาพละมากกว่าศรัทธาพละ จะเกิดวิจิกิจฉานิวรณ์ ความลังเลสงสัย
  • วิริยะพละมากกว่าสมาธิพละ จะเกิดอุทธัจจะกุกกุจจะนิวรณ์ ฟุ้งซ่านและรำคาญใจ
  • สมาธิพละมากกว่าวิริยะพละ จะเกิดถีนมิทธะนิวรณ์ ควางง่วงและท้อแท้ เกียจคร้าน

พละ 5 กับสติปัฏฐาน[แก้]

ตามหลักปฏิบัติสติปัฏฐานท่านว่าเป็นเหตุให้เกิด พละ5 ตามอารมณ์ของสติปัฏฐานที่ได้เจริญ

  • สติพละ สตินั้นท่านกล่าวว่ายิ่งมีมากยิ่งดี การเจริญวิปัสสนานั้น ท่านให้กำหนดสติรับรู้จากน้อยไปหามาก ยิ่งมีอารมณ์กำหนดน้อยก็จะเกิดสมาธิได้ง่าย ถ้ามีอารมณ์ให้กำหนดกว้างมากสมาธิจะน้อยจนไม่เป็นอันปฏิบัติ เพราะสมาธิคือความตั้งใจของจิต ถ้าสมาธิมีมากเกินไปจิตจะดิ่งนิ่งไม่มีสติ อุบายคือเมื่อสมาธิมีมากเกินไป เพราะเริ่มชำนาญต่ออารมณ์กรรมฐานที่กำหนด ให้เพิ่มการรับรู้ของสติให้มากขึ้นกว้างขึ้นละเอียดขึ้นทีละน้อย ด้วยการเพิ่มอารมณ์ที่ต้องกำหนดคืออิริยาบถย่อยและอารมณ์ทางประสาทสัมผัสทั้ง6 ให้มากขึ้นกว้างขึ้นละเอียดขึ้นทีล่ะน้อย ถ้าเพิ่มมากเกินไปในทีเดียว จะสูญเสียสมาธิที่ใช้ในการกำหนดอารมณ์กรรมฐานกลายเป็นฟุ้งซ่านหรือขี้เกียจไป เพราะถ้าจิตรับรู้น้อยอย่างจะเกิดสมาธิได้ง่าย ถ้าจิตรับรู้มากอย่างในอิริยาบถและสัมผัสทั้ง6จะเกิดสติมากแต่จะอ่อนสมาธิจนอาจไม่สนใจเจริญสติ เพราะไม่มีสมาธิรักษาอารมณ์ที่จดจ่อในการกำหนด จึงต้องค่อยๆเพิ่มอารมณ์ที่ใช้กำหนดทีล่ะน้อย เพราะเมื่อผู้ปฏิบัติชำนาญจนเคยชินจะกลายเป็นสมาธิมากขึ้นเอง จึงต้องค่อยๆเพิ่มการรับรู้ของสติไปเรื่อยๆทีล่ะขั้น เพื่อลดกำลังของสมาธิด้วยสติ, แต่แม้จะไม่เพิ่มการกำหนดของจิตให้มากขึ้นกว้างขึ้นละเอียดขึ้น เพื่อหวังให้สมาธิคงอยู่นาน แต่การกระทำเช่นนั้น ก็อาจทำให้สมาธิค่อยๆอ่อนกำลังได้เช่นกัน เหมือนการที่ทำอะไรจนเคยชินจนคล่องมาก จะเริ่มไม่มีสมาธิต่อสิ่งนั้นจนสามารถ เริ่มทำสิ่งนั้นไปพร้อมกับสิ่งอื่นได้ง่ายๆ ซึ่งการชำนาญมากไปอาจมีผลให้จิตเหม่อลอย ขี้เกียจจนเกิดถีนมิทธะได้ง่าย ดังนั้นการจะสร้างสมาธิเมื่อจิตเริ่มชำนาญต่ออารมณ์ที่มีอยู่ ก็คือการกำหนดสติให้มากขึ้นกว้างขึ้นละเอียดขึ้น จิตจึงจะกลับมีสมาธิต่ออารมณ์กรรมฐานได้ดีต่อไป การใช้สติลดกำลังสมาธิแบบนี้ สติจะกล้าแข็งกว่าสมาธิไปทีล่ะระดับขั้น
  • ศรัทธาพละ เกิดจากสมาธิอันเป็นตัวแทนแห่งสมถะที่มีอารมณ์ให้เกิดศรัทธาในพระรัตนตรัย ในทาน ศีล ความดี นิพพานฯลฯได้ง่าย มีอารมณ์อันเป็นฝักฝ่ายให้เกิดราคะเช่นวรรณะกสิน และอารมณ์ให้เกิดโทสะเช่นอสุภะ กายคตาสติ และอารมณ์ต่างๆเช่นมรณานุสสติ อัปปมัญญา เหล่านี้มีกำลังมากกว่าสติอันเป็นตัวแทนแห่งวิปัสสนานั่นคือปัญญา เมื่อสมาธิมีกำลังมากกว่าสติ ศรัทธาพละจึงมีกำลังมากกว่าปัญญาพละ เป็นเหตุให้เกิดกามฉันทะนิวรณ์และพยาบาทนิวรณ์ได้ง่าย การที่สมาธิมีกำลังมากกว่าสติ เพราะสมาธิเกิดขึ้นได้ง่ายในการจดจ่อ ตั้งใจมั่น ในสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ย่อมทำให้สติที่เป็นสภาวะกำหนดครอบคลุมในอิริยาบถทั้งหลายในทุกประสาทสัมผัสทั้งหลาย อ่อนกำลังลงเพราะไม่สามารถกำหนดครอบคลุมได้
  • ปัญญาพละ เกิดจากสติอันเป็นตัวแทนแห่งวิปัสสนาคือปัญญามีกำลังมากกว่าสมาธิอันเป็นตัวแทนแห่งสมถะที่มีอารมณ์ให้เกิดศรัทธาในองค์ธรรมต่างๆ เพราะเหตุแห่งจิตมีปัญญาในพระไตรลักษณ์มาก เมื่อสติมีกำลังมากกว่าสมาธิ ทำให้ปัญญาพละมีกำลังมากกว่าศรัทธาพละ เป็นเหตุให้เกิดวิจิกิจฉานิวรณ์ได้ง่าย การที่สติมีกำลังมากกว่าสมาธิ เพราะสติคือการกำหนดแบบครอบคลุมทุกอิริยาบถทุกการรับรู้ทางประสาทสัมผัสยิ่งมากสติยิ่งมีกำลัง แต่จะเป็นเหตุให้สมาธิที่ชอบกำหนดจดจ่อในอารมณ์น้อยอย่าง สูญเสียอารมณ์สมาธิได้ง่าย
  • วิริยะพละ เกิดจากการกำหนดการเดินจงกรมและการกำหนดอิริยาบถย่อย ซึ่งถ้าทำมากไปจะทำให้จิตฟุ้งซ่าน
  • สมาธิพละ เกิดจากการกำหนดในอิริยาบถนั่ง ถ้ามากไปทำให้ขี้เกียจ ท้อแท้ ง่วง เบื่อ ได้

ดังนั้น ให้ศรัทธาพละสมดุลกับปัญญาพละด้วยการกำหนดอารมณ์ให้เหมาะสมแก่กำลังของสติสมาธิในขณะนั้น ให้วิริยะพละสมดุลกับสมาธิพละด้วยการสลับการเดินจงกรมและการนั่งสมาธิให้เหมาะสมแก่อินทรีย์ของตนเอง

อ้างอิง[แก้]

  1.  สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส. นวโกวาท. กรุงเทพ: สำนักพืมพ์มหามกุฏราชวิทยาลัย, ๒๕๔๐


วิชา ภาษาไทย

  ภาษาไทย  เป็นภาษาทางการของประเทศไทย และภาษาแม่ของชาวไทย และชนเชื้อสายอื่นในประเทศไทย ภาษาไทยเป็นภาษาในกลุ่ม ภาษาไต  ซึ่งเป็นกลุ่มย่อยของตร...